ริว น้ำตาคลอโต้ซุกเมีย 2 ลูก 3 แค่ไม่พร้อมบอก เผยตกอับทำธุรกิจเจ๊ง


Coyoty (นางฟ้ายามคำ่ำ่คืน)

ภาพหลุดดารา จุกโผล่ หวอกระจาย

สาว Hi5
☆Ña†zpiиk☆
แอบถ่ายนักศึกษา

Cute Girls X

แอบถ่ายจากทางบ้าน (เด็ดจริง)

สุดยอดนางแบบ(Top Model in Japan)

การ์ตูน VIP (สุดยอดแห่งความบันเทิงเชิงผู้ใหญ่)

การ์ตูนผู้ใหญ่ (หลายเรื่องหลากรส)



ริว-อาทิตย์ รับสารภาพมีเมีย 2 ลูก 3 หลังเจอปาปารัซซี่แชะภาพจับไต๋ได้ เผยไม่ตั้งใจซุกลูกเมียแค่ยังไม่พร้อมเปิดเผย อยากป้องลูกให้โตมาแบบคนไม่มีชื่อเสียง ลั่นไม่โกรธมือดีถ่ายภาพ เผยเหตุออกวงการเพราะไม่อยากโกหกประชาชน รับทำธุรกิจเจ๊งชีวิตตกอับถึงขนาดต้องนอนในรถ บอกชีวิตทุกวันนี้มีความสุข ส่งเสียเลี้ยงดูทั้งเมียและลูกรวม 5 ชีวิต พร้อมคืนวงการและยินดีให้ลูกเป็นดารา แต่วอนสื่ออย่าเล่นข่าวแรง

อุตส่าห์ซุ่มซุกลูกซุกเมียมาหลายปี แต่ความลับก็มาแตกหลังถูกปาปารัซซี่ตามแชะภาพกับลูกชายสองหน่อมาได้ ล่าสุดอดีตพระเอกหน้าใส ริว-อาทิตย์ ตั้งสวัสดิรัตน์ ได้ออกมาเปิดใจแบบหมดเปลือกกลางรายการ "ไนน์เอนเตอร์เทน" โดยยอมรับว่าเด็กสองคนที่เห็นในภาพคือลูกชายของตน

"ใช่ครับเป็นลูกของผมเองทั้งสองคนเลย ถามว่าผมซุกลูกซุกเมียหรือเปล่า ก็ไม่ได้ซุก คือตั้งแต่ครั้งแรกช่วงนั้นริวเล่นละครเรื่อง "วัยร้ายเฟรชชี่" ก็มีข่าวออกมาแล้วว่า ริวเตรียมประกาศวิวาห์ มันเริ่มที่จะมีกระแสเรื่องนี้ในช่วงนั้นพอดี ก็เหมือนกับว่าปุ๊บปั๊บเราก็กลายมาเป็นครอบครัวเลย ริวไม่ได้ปฏิเสธกับสื่อว่าไม่มีลูก ริวบอกกับนักข่าวว่ารอให้พร้อมก่อนค่อยพูด ริวปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้วเรื่องพวกนี้ เพราะวันหนึ่งข้างหน้าลูกผมเขาจะรู้สึกอย่างไร เพียงแต่ตอนนั้นที่ยังเปิดเผยไม่ได้ ไม่ได้เกี่ยวกับว่ากลัวเรตติ้งตก ตอนนั้นผมก็สนุกกับงานเลยไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก ผมกลับไปคิดเรื่องของครอบครัวซะมากกว่า คือทางภรรยาผมคนแรกเขามีความเป็นห่วงลูกที่จะเกิดมา เราก็คุยกันว่าอยากจะให้ลูกมีชีวิตที่ไม่มีชื่อเสียง แล้วอยากให้ลูกโตขึ้นมาด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ เขาไม่ต้องถูกโลกภายนอกมาทำร้ายเขา เดี๋ยวใครคนโน้นจะมาพูดโน่นนี่ เขาก็จะกลายเป็นเด็กที่งงว่าตกลงมันเกิดอะไรขึ้น"

"ผมยอมรับว่าเคยบอกพี่นักข่าวที่สนิทกันว่า อย่าเอาเรื่องนี้ไปเล่นข่าวเลย ก็บอกว่าพี่ครับ....ผมขอนะ ลูกผม ผมอยากให้โต....ไม่รู้จะพูดยังไงพูดไม่ถูก คือผมเป็นพ่อก็อยากให้เขาโตมาแบบน่ารัก อยากให้เขาโตแบบธรรมชาติของคนปกติ ไม่มีชื่อเสียง ผมอยากให้เด็กโตมาจากพื้นฐานความรู้สึกแบบเบสิคๆ ซึ่งผมก็คิดอยู่แล้วว่าวันหนึ่งความจริงจะต้องถูกเปิดเผย แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เพราะในโลกใบนี้ไม่มีความลับ ตอนที่มีภาพผมกับลูกๆ ออกมาก็ตกใจเหมือนกัน เพราะวันนั้นผมยังไม่ได้ตั้งตัว พอได้รับข่าวก็คิด 1 2 3 4 5 ว่าจะทำอะไรก่อน ณ วันนั้นก็คืออันดับแรกต้องคุยกับลูกก่อน เพราะลูกไม่รู้ว่าใครจะยังไงต่อไป ลูกจะงงไหมว่าเขาจะโดนอะไรบ้าง ตอนนี้เขาเป็นคนสาธารณะแล้ว ตอนนี้ทุกคนรู้จักเขาแล้ว"

"ลูกรู้ว่าผมเป็นดารา แต่เขาไม่เข้าใจว่าดารากระโดดเข้าไปอยู่ในทีวีได้ยังไง ผมไม่เคยให้เขารู้อยู่แล้วว่าวงการบันเทิงมันคืออะไร แล้วผมไม่ให้เขารู้อยู่แล้วว่าปะป๊าเข้าไปอยู่ในทีวีได้ยังไง แล้วปะป๊าไปตัวเล็กๆอยู่ในนั้นได้ยังไง หลังมีภาพมีข่าวออกมาแล้วผมก็ไม่ต้องอธิบายกับลูกมาก ผมพูดกับเขาว่าไม่ว่าปะป๊าจะเป็นยังไง ปะป๊าคนนี้ก็คือปะป๊า แล้วปะป๊าคนนี้ก็รักลูกที่ปะป๊ามีทุกคน"

เผยมีลูกตอนอายุ 24 ตั้งแต่ยังมีชื่อเสียงอยู่ในวงการ พร้อมเปิดใจถึงสาเหตุมีภรรยา 2 และลูก 3 คน

"ผมมีลูกตั้งแต่อายุ 24 คลอดตอนอายุ 25 จริงๆ แล้วผมต้องบอกว่าตอนช่วงนั้นก่อนที่มีภรรยา ผมใช้ชีวิตเป๋มากเพราะคุณยายผมเสีย สภาพจิตใจผมเหลวแหลก เพราะผมเป็นคนรักยาย ชีวิตผมในโลกใบนี้ไม่มีอะไรอีกแล้ว ผมไม่อยู่แล้ว มีอยู่สิ่งเดียวที่ผมอยู่ได้คือลูก ลูกก็คือหัวใจ ซึ่งภรรยาคนแรกของผมเป็นเพื่อนเรียนมาด้วยกันที่ม.รังสิต ตอนนั้นเราไม่ได้ทำพิธีแต่งงานกัน แค่มีจัดน้ำชาคารวะผู้ใหญ่ ตอนที่จัดพิธียกน้ำชาภรรยาผมก็ไม่ได้ท้อง ไม่เกี่ยว ไม่ได้แต่งจากการที่ท้องก่อน และเขาก็ขอว่าไม่อยากเป็นที่รู้จักของใคร เขาอยากมีชีวิตธรรมดาของเขาอย่างนั้นดีแล้ว เพราะเขาไม่ชอบให้ใครไปตั้งคำถาม แล้วเขาก็ไม่อยากให้ลูกต้องโดนกดดันอะไร หรือว่าคนอื่นๆ จะพูดอะไรกับเขาแล้วทำให้เขากลายเป็นเด็กต้องคิดมาก ผมไม่อยากให้ลูกผมเป็นอย่างนั้น"

"ตอนนั้นทางอาร์เอสฯก็ทราบเรื่องผมมีภรรยาและมีลูก ผมได้แจ้งเฮียไปก่อนหน้านี้แล้ว คือเขาเป็นผู้บังคับบัญชาผมโดยตรง เรื่องพวกนี้ผมต้องแจ้งเขาก่อนเพื่อให้เขาช่วยดูแลว่าควรจะปรับแผนกันยังไง เขาก็บอกว่าแล้วแต่เราว่าจะปิดข่าวหรือเปล่า หากว่าเราสบายใจที่จะให้ลูกโตมาด้วยความรู้สึกว่า อยากเป็นเด็กธรรมดาๆ คนนึงก็ตามใจเรา ในโลกใบนี้เราทำอะไรก็ได้ ถ้าเรายืนอยู่บนความถูกต้องแล้วชีวิตเราเป็นชีวิตของเราเอง คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์มาทำให้ชีวิตเราแย่ลงได้ แต่ว่าผมกลัวเรื่องข่าวจริงๆ เพราะเดี๋ยวนี้ข่าวค่อนข้างจะแข่งขัน ปลายปากกาก็ไม่รู้ว่าเขียนไปแล้วจะโดนโน่นโดนนี่อะไรบ้าง บางคนถึงกับเลิกกันได้เลยเพราะข่าว"

"ผมอยู่กับภรรยาคนแรกประมาณ 3-4 ปีก็เลิกกัน สาเหตุที่เลิกเพราะความไม่เข้าใจกัน แต่เราก็จากกันด้วยดี และทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ ผมมีลูกชายกับเขา 2 คน ผมก็ส่งเสียเลี้ยงดูหมดทั้ง 5 ชีวิต รวมภรรยาคนที่สองและลูกสาวด้วย พอผมเลิกกับภรรยาคนแรกไปหลายปีแล้วถึงมาเจอภรรยาคนที่ 2 คือตอนนั้นมีความรู้สึกว่าจริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากจะมีอีก เพราะเรามีความรู้สึกว่าเราเฟล แล้วเราเป็นคนที่ไม่ได้อยู่กันเป็นครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก วุฒิภาวะของเราตอนนั้นก็เด็กจริงๆ ตอนนั้นเด็กกันทั้งคู่เลย แต่ด้วยความที่เขามีชีวิตและความคิดตรงกับเรา เขาปลงแล้วกับโลกใบนี้ เรื่องเงินเรื่องทองไม่ได้มีความสำคัญมาก แต่มันสำคัญตรงที่ว่ามันทำให้เราอยู่รอดได้แค่นั้นเอง เราเลยมาสตาร์ทเรียนรู้ด้วยกันว่าครอบครัวเป็นยังไง โดยที่ไม่ได้แต่งงานเหมือนคนแรก คือพอเราตกลงกันว่าโอเคจะใช้ชีวิตด้วยกัน จะเป็นเพื่อนกันยันแก่ จะทำให้ความสุขตรงนี้เติมเต็มซึ่งกันและกันก็โอเคแค่นี่เอง ความรักมันง่ายๆ แค่นี้เอง มันไม่ต้องมีอะไรเยอะ และที่ผมไม่บอกสื่ออีกเพราะรู้สึกว่าสื่อไม่ได้สนใจผมแล้ว ตอนนั้นผมมุ่งแต่งาน แต่ผมติดตามวงการบันเทิงตลอดนะว่า เดี๋ยวนี้สื่อเขาจะเล่นกันยังไง"

"ลูก 3 คนจะแยกกันเลี้ยง ผู้ชายสองคน "น้องภีม" กับ "น้องเภา" จะมีอาม๊าช่วยดูแลอยู่กับคุณแม่เขา คุณแม่เขาก็ทำงานด้วย ส่วนผมก็ส่งเสียและรับมานอนที่บ้านด้วยกันบ้างแล้วแต่การเรียนของเขา ส่วนกับอีกบ้านหนึ่งริวก็อยู่ด้วย เรามีลูกสาวอายุ 8 เดือนด้วยกันชื่อ "น้องลิงค์ลิ้งค์" คนนี้เขาเองก็ไม่อยากจะเปิดเผยเหมือนกัน เนื่องจากการทำงานบางครั้งอยู่ในที่แจ้ง บางครั้งการอยู่ในโลกของธุรกิจ บางการทำงานเขาอยากจะมีความเป็นส่วนตัว เขาอยากมีความเป็นอิสระ ซึ่งคนอื่นไม่ต้องไปยุ่งเรื่องส่วนตัวเขา งานก้ยุ่งอยู่แล้ว ยังจะมามีเรื่องเอฟเฟคข่าวอีก เขาเป็นคนที่เก่งมาก เขาไม่ใช่แม่บ้านแต่เขาเป็นคนที่บริหาร เลยทำให้ริวก็ตามเขาด้วย"

"ทุกวันนี้พอทุกอย่างเปิดเผยแล้วก็สบายใจ ผมสบายใจจริงๆ มีความรู้สึกว่าผมคิดถึง แล้วผมก็มีเรื่องเล่า อยากถามอะไรผมก็ตอบได้ ที่ผ่านมาผมไม่เสียใจที่ไม่เปิดเผย แต่ผมรู้สึกอึดอัด ผมไม่เคยโกหกแต่อึดอัดเหมือนอกตรม ช่วงนั้นที่คนยังไม่รู้เวลาไปไหนมาไหนผมก็พาลูกไปด้วยตลอดนะ แต่ตอนนั้นเขาเด็กยังพูดเรียกพ่อไม่ได้ พูดแต่กูเกา...กูเกา (ภูเขา) พอเขาเริ่มพูดได้ผมก็สอนให้เขาเรียกปะป๊า ผมเคยพาเขาไปที่ห้างแล้วมันจะมีที่ขายแผ่นซีดีเพลง ลูกผมก็ตกใจเรียกปะป๊าๆๆ ไปอยู่ในทีวีได้ยังไง งานเข้าสิ.....เขาตะโกนดังมากผมก็หันซ้ายหันขวา ค่อยๆ เรียกเขาไปขึ้นรถกัน"

"ความรู้สึกตอนนั้นเรากลัวคนอื่นจะรู้ว่าเป็นลูกเรา เพราะเราอยากปกป้องเขา กลัวเขาเป็นข่าวขึ้นมาแล้วชีวิตเปลี่ยนไปเลย กลัวเปลี่ยนในเรื่องของคนรอบข้างเขา แล้วเขาจะโตขึ้นมาด้วยคนรอบข้างที่รายล้อมเขา เอ๊ะ! ปะป๊าเป็นดารา ทำไม...คือคนจะพูดยังไงเราไม่รู้ เพราะเราไม่ได้อยู่กับเขาตอนที่เขาเรียนหนังสือ (แต่ลูกดาราคนอื่นก็เปิดตัวกันได้?) ผมไม่รู้ผมไม่ได้คิดอย่างนั้น ผมอยากจะให้เขามีพื้นฐานที่โตขึ้นมาจากคนธรรมดาคนนึงเท่านั้น ไม่ใช่พื้นฐานที่โตขึ้นมาเป็นลูกดารา เพราะเราคือคนธรรมดา ผมอยากให้เขาโตมาแบบคนธรรมดา"

ปฏิเสธออกวงการเพราะมีลูก รับในอดีตเคยใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายเปลี่ยนรถหรูเป็นว่าเล่น แต่หลังมีลูกทำให้กลับตัวกลับใจคิดได้ และทำทุกอย่างเพื่อเก็บเงินให้ลูก

"ที่ผมออกจากวงการไม่ใช่เพราะมีลูก ช่วงนั้นไม่ใช่งานไม่เข้า ตอนนั้นเราถ่ายทำงานกันอยู่แล้วก็พร้อมจะออนแอร์ แต่ทางช่องมีสต๊อกละครเยอะจนทำให้ผลงานของเราไม่ออกมา พอรอปุ๊บคนดูก็รู้สึกว่าเราหายไปก็แค่นั้น แล้วก่อนหน้านั้นแม่ผมป่วยต้องผ่าตัดสมอง ผมต้องใช้เงินเยอะมาก คือตอนที่มีครอบครัวผมมีความสุขผมยอมรับเลย ตอนนั้นทุกอย่างผมคิดวางแผนว่าครอบครัวเราต้องมีความสุข เพราะผมเป็นคนที่ไม่ได้อยู่กับพ่อมาตั้งแต่เด็ก เลยมีความรู้สึกว่าถ้าเรามีครอบครัว จะไม่ทำให้ครอบครัวเป็นอย่างนี้ ผมอยากจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่น ดังนั้นช่วงนั้นวิธีคิดของริวก็คือ ต้องจ้างคนมาดูแลแม่ ลูกก็ต้องโตขึ้นมีค่านม ค่าแพมเพิร์ตของแม่และลูกผม โห...ค่าใช้จ่ายทั้งนั้น แต่ผมก็ให้กำลังใจแม่ให้เขาเดินให้ได้นะ เงินที่ผมมีก็หมดไปกับการดูแลแม่และครอบครัวของผมเอง ส่วนตัวผมเองไม่รู้จะใช้อะไรแล้ว เพราะผมเคยใช้มาหมดแล้ว ซื้อโน่นซื้อนี่มาหมดแล้ว มีแต่ว่าต่อไปจะหาเงินยังไง เพราะลูกเราก็ต้องโตมันหยุดไม่ได้"

"ช่วงที่ผมกำลังฮอตผมทำพิธีกรอยู่ทั้งหมด 8 รายการไม่รวมละคร ได้เงินมาแต่ผมไม่เคยเก็บ เพราะผมเป็นลูกชายคนเดียว ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้หวังพึ่งผม คือแม่ก็หาเงินได้ คุณยายก็สบายของเขาอยู่แล้ว ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ผมมีความคิดแค่ว่าได้เงินมาอยากได้อะไรต้องใช้ ซึ่งเงินส่วนใหญ่ของผมจะหมดไปกับการซื้อรถยนต์ ช่วงนั้นผมเปลี่ยนรถปีละ 8 คัน เปลี่ยนเป็นรถสปอร์ตไปเลย บางคันใช้เพียงแค่ 4 วัน พอไม่ชอบก็เปลี่ยนเลย ทำแบบนี้มาตลอด 10 ปี แต่ผมไม่ได้หมดเงินไปกับรถอย่างเดียว ถ้าแม่อยากทำร้านอาหารผมก็เปิดให้เขา อยากทำอะไรก็ส่งให้ ทำบ้านใหม่ก็ส่งให้ แต่ส่วนตัวแล้วเราก็คิดว่าไม่มีอะไร ชีวิตเราก็อยู่บนความเสี่ยงตลอดเวลา เพราะผมเป็นคนรักความเร็ว ชอบการแข่งรถ ขับรถเร็วรถแข่ง ผมก็คิดว่าไม่รู้จะเก็บเงินไปทำไม เก็บไปแล้วเดี๋ยวตายวันไหนก็ไม่รู้ขับรถแบบนี้"

"เรานึกไม่ถึงว่า อุ๊ย...มีครอบครัวแล้วจะเป็นอย่างนี้เหรอ การมีลูกเป็นอย่างนี้เหรอ เพราะตอนนั้นเราเด็กแล้ววุฒิภาวะเราก็ยังไม่ใช่ เรายังเด็กแค่ 24 เอง ลูกทำให้เราเปลี่ยนความคิดในเรื่องการใช้เงิน คิดเลยว่าถ้าเราอยู่บนความไม่แน่นอนอย่างนี้แล้วลูกเราล่ะ ถ้าเกิดผมไม่มีเงินไปเลี้ยงดูเขา เราไม่อยากให้เขาแย่ ไม่ได้....เราเป็นพ่อเราต้องปกป้อง ผมเป็นคนชอบจินตนาการไกล เป็นคนชอบคิดไปไกล ผมจะไม่คิดว่าวันนี้เท่านี้ พรุ่งนี้อย่างนี้ แล้วเดือนหน้าจะยังไงของผมเปล่า ของผมคิดไปถึงปีไหนที่ลูกโตว่า ผมจะต้องส่งเขาเรียนอย่างนี้ให้ได้ แล้วเราจะหายังไงเป็นสเต็ปๆ ไป จากนั้นผมก็เดินเข้าไปหาเฮียบอกว่า ผมไม่ทำงานในวงการแล้ว ผมจะไปทำธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเฮียก็เข้าใจ ทั้งที่ตอนนั้นผมกำลังจะทำอัลบั้ม แล้วเพลงก็ออกมาให้ฟังกันแล้ว แต่ผมมีความรู้สึกว่าเดี๋ยวจะเป็นยังไง ผมอยากให้ลูกอยู่ในโลกของเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ถ้าผมออกเทปจะเป็นยังไงล่ะ มันเหมือนคนที่มีชนักติดหลัง ผมยอมรับว่าช่วงนั้นไม่มีความสุขกับการเป็นดารา เพราะไม่อยากหลอกประชาชนว่าทำไมต้องปิด แล้วเราต้องทำอาชีพต่อไปก็ไม่อยากจะไปปิดใคร"

"ผมคิดว่าถ้าผมไปร้องเพลงบนเวทีคอนเสิร์ต ทุกคนจะเรียกว่าพี่ริว แต่ที่ไหนได้ผมมีลูกแล้ว ภูมิใจมั้ยผมถามจริง เป็นผมจะไม่ภูมิใจ ผมไม่อยากโกหกต่อไป ผมคิดอย่างนี้เลยออกจากวงการ ผมไปเสี่ยงหาเงินตรงอื่นดีกว่า มันยังทำให้ผมมีความภาคภูมิใจตัวเองมากกว่านี้ (ถ้าไม่มีภาพหลุดจะพร้อมเปิดเผยมั้ย?) จริงๆ ผมพร้อมมานานแล้ว แต่แค่ว่ายังไม่ได้บอกกับลูก วันนี้ผมบอกกับลูกแล้ว บอกตั้งแต่วันที่มีภาพกระจายทั่วเน็ต ผมบอกหมดเลยคือ ผมรวมเขาสองคนมาตั้งหลัก ลูกตั้งใจฟังปะป๊าดีๆ นะ เรื่องนี้สำคัญมากเป็นเรื่องของชีวิตหนูเลยนะ ปะป๊าชินแล้วกับเรื่องบนสื่อ ปะป๊าเจอมาเยอะแล้วแต่หนูน่ะสิกำลัง วันนึงถ้ามีคนมาขอลายเซ็นต์หนู หนูจะรู้สึกยังไง เขาก็ตอบว่าก็ดีชอบ แสดงว่าภีมเป็นคนเก่งจริงเขาถึงมาขอลายเซ็นต์ แล้วผมก็ถามว่าภีมอยากเป็นดาราไหมลูก ปะป๊าคิดว่าไงล่ะ ปะป๊าว่าถ้าหนูชอบก็เป็นได้นะลูก เพราะว่าเขาก็หน้าตาดีกว่าเราอีก เขาก็ถามว่าเป็นแล้วรวยไหมพ่อ ผมก็ตอบว่ารวยสิลูก แต่ต้องเก็บตังค์ไม่งั้นหมดตัวเหมือนปะป๊าเมื่อก่อนนะ งั้นเภาอยากเป็นเลยพ่อ คือเราก็จะคุยกันอย่างนี้ ผมจะคุยแบบไม่เครียด คุยแบบติดตลก คุยให้เขาหัวเราะว่าอะไรคือวงการบันเทิง อะไรคือสื่มวลชน ตอนนี้เขาเห็นภาพเขาแล้วก็ถามว่า ปะป๊าๆใครมาถ่ายภาพปะป๊ากับเขา ภีมไปโรงเรียนทำไมเพื่อนๆ มาถามว่านายๆๆ เป็นลูกริวเหรอ นายๆๆ ใครคือริวไม่รู้จัก คือเด็กยังงงคำถามของเขาอยู่"

ร่ำไห้เผยถึงชีวิตช่วงตกอับหลังออกวงการ บอกกว่าจะฝ่าฟันและมีอย่างทุกวันนี้ได้เพราะคำสอนของยาย

"สมัยก่อนเขาหาว่าผมเป็นเกย์ ผมพอใจกับข่าวลือผมนะที่ใครมองผมเป็นอย่างนั้น เมื่อก่อนผมเป็นท็อปๆ ขวัญใจชาวสีม่วงเลย แล้วผมมีเพื่อนเป็นเกย์เยอะมาก สมัยดังๆ ผมมีเพื่อนเป็นล้านทั่วประเทศไทย (มีเพื่อนเยอะทำไมถึงตกอับไปนอนในรถ?) ก็ผมไม่เคยยืมตังค์ใครไง ผมไม่เคยยืมตังค์เพื่อน ผมเป็นคนศักดิ์ศรีค้ำคอ จะไปยืมตังค์ผมก็กลัวว่าเขามองผมยังไง ผมก็ไม่เอาดีกว่า ผมก็ขับรถมาตั้งหลักที่กรุงเทพฯ แล้วก็มาขายอะไรบางอย่างของตัวเองออก ผมมาขายรถออกไปใช้หนี้เขาแล้วคิดหาเงินต่อไป แล้วก็มีคุณยายมาช่วยผมอีก คือผมเป็นคนที่รักคุณยายมาก จากกันไปแล้วแต่ผมยังเก็บเขาไว้อยู่ (ร้องไห้) พูดถึงคุณยายแล้วผมก็จะร้องไห้"

"คุณยายจะเรียกผมว่าตาหนู ผมจะเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ในสายตาของเขา เขาจะสอนผมว่า....ยายขอนะ ในชีวิตนี้ยายไม่ต้องการอะไรจากหนูหรอก เพราะยายรักหนูที่สุด ยายของแค่สองอย่างไม่ยากเลย หนึ่งเรียนให้จบนะลูก อะไรก็ได้หนูเรียนให้จบ ผมก็รับปากครับทำได้ง่ายมากผมเรียนเก่ง สองอย่าไปเสพยาเสพติดนะลูก ผมก็ตอบว่าอะไรคือยาเสพติด ตอนนั้นยังไม่รู้จักเพราะว่าเรายังเด็ก ยาเสพติดคืออะไรยังไม่รู้ รู้แต่ว่าคำพูดยายบอกว่า ขอสองอย่างคือเรียนให้จบแล้วก็ยาเสพติด ดังนั้นเวลาไปเที่ยวไหนกับเพื่อน แล้วเห็นเพื่อนฝูงเสพยา ผมจะพูดกับเพื่อนเลยว่า ผมสัญญากับยายไว้ ไม่ๆๆๆๆ เพื่อนก็จะเอานะนิดนึง เราก็จะบอกว่าเดี๋ยวยายกูโกรธ ไม่ได้....สัญญาคือสัญญา พอเถอะนะเป็นเพื่อนอย่ามาบังคับกัน ไม่เอา คือเขารักเราและเมา เขาก็อยากให้เราสนุกด้วยกัน ผมก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเมายาอะไรกันบ้าง เพราะผมไม่รู้จักและไม่เคยอยากรู้ด้วย ผมเคยไปที่ๆ หนึ่งแล้วถามเขาว่าเป็นอะไร เขาก็บอกว่าตีตี้ มันเป็นศัพท์ของเขา เขาก็ถามว่าตี้เปล่าๆ ผมก็บอกว่าไม่เอาหรอก ผมกินเหล้าอย่างเดียวก็ได้ ชีวิตผมเจออะไรมาเยอะ ประคองตัวเองมาได้เพราะคำสอนของยาย"

"พอออกจากวงการไปผมก็เปิดบริษัทออกาไนซ์ฯ จัดอีเว้นท์งานใหญ่ๆ มีร้านค้าประมาณ 400-500 ร้านค้า มีสวนสนุกและเวทีคอนเสิร์ตเป็นมหกรรมเลย เป็นการเอาประสบการณ์ในวงการไปต่อยอด แต่ทำแค่ครั้งแรกก็กลิ้งเลยครับ ขาดทุนทันทีเงินหมดเลย ไม่มีแม้แต่เงินไปเติมน้ำมัน ที่มันไม่ประสบความสำเร็จเพราะผมเจอฝน แล้วตอนนั้นผมติดหนี้ซัพพลายเออร์ด้วย พอฝนตกเราก็เก็บเงินไม่ได้ แต่เรามีค่าใช้จ่ายพวกเรื่องเวที เรื่องกล้อง พอไม่มีเงินตรงนั้นผมก็บอกพี่ให้หางานโชว์ตัวให้หน่อย เพราะผมต้องเอาเงินไปจ่ายให้ซัพพลายเออร์ แต่ผมยังไม่คิดกลับวงการ คืนนั้นที่พัทยาผมก็นอนในรถอยู่ริมถนน นั่งคิดถึงตัวเองว่าวันนี้เราอย่างนี้เลยเหรอ แค่โรงแรมราคา 500 เรายังไม่มีตังค์จ่าย แล้วน้ำมันก็เหลืออยู่แค่ครึ่งถัง แล้วเราจะกลับถึงกรุงเทพฯ มั้ย เพราะตอนนั้นใช้รถเครื่องใหญ่อยู่"

"ชีวิตช่วงที่ออกจากวงการไปก็มันส์ดี รู้ว่าเงินทุกบาททุกสตางค์ที่หามาได้มันก็ไม่ง่าย มันต้องใช้ไหวพริบใช้ความพยายาม ใช้ความคิด แล้วมันต้องมีความกระตือรือร้น อดทน ตั้งใจ ทุกอย่างเลย เรียกว่าลำบากกว่าการเป็นดารามากแต่มันสนุก เราเป็นคนชอบทำงาน เราเป็นคนที่อยากได้งาน และอยากคิดอะไรใหม่ๆ ให้เขา อยากสร้างโปรเจคอะไรให้คนอื่นๆ แล้วให้เขามาลงทุนแค่นี้ผมก็สนุกกับมันแล้ว ตอนนี้ผมเป็นที่ปรึกษาในการลงทุน และทำงานให้กับผู้ใหญ่ที่เขาอุปถัมภ์ผม ริวช่วยเขาคิดโปรเจคงานใหญ่ๆ คือริวเป็นคนชอบทำธุรกิจอยู่แล้ว เลยเป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทหลายๆ ที่"

"เรื่องกลับเข้าสู่วงการถ้ามีโอกาสก็อยากทำ แต่คงไม่ใช่เต็มตัว ถ้าจะกลับมาจริงๆ ผมต้องลดความอ้วนอีก 3 กิโล แต่แค่ 2 วันผมก็ลดได้แล้ว ถามว่าอยากทำอะไรก็อยากทำพิธีกร ผมอยากสัมภาษณ์คน คือเราผ่านชีวิตมาขนาดนี้แล้ว เราก็อยากจะสัมภาษณ์ชีวิตคนอื่นว่าตอนช่วงนั้นรู้สึกยังไง เป็นยังไง ผมอยากสัมภาษณ์เกี่ยวกับประสบการณ์คน แล้วก็อยากจะดึงเหตุการณ์ของเขาออกมาให้เป็นอุทาหรณ์ อยากจะดึงความรู้สึกของเขาออกมาให้เขาร้องไห้ เราจะชี้นำ แต่ยังไม่มีใครติดต่อให้ทำเลย มีแต่ติดต่อให้เล่นหนังช่วงเดือนตุลาคม เขาก็มาคุยเล่นๆ ว่าจะเอาไปแต่ต้องลดน้ำหนักก่อน ทุกคนมีเงื่อนไขกับผมหมดว่าให้ไปลดน้ำหนัก"

โต้เกาะกระแสภาพปาปารัซซี่กับลูกคืนวงการ พร้อมวอนสื่อขอให้เล่นข่าวลูกแบบน่ารักไม่ซีเรียส!!!

"ผมไม่ได้สร้างกระแส ใครถ่ายผมยังไม่รู้เลย ถามว่าผมจะให้ลูกเข้าวงการด้วยหรือเปล่า ก็คงแล้วแต่เขา ผมไม่สามารถชี้นำลูกได้ว่า ลูกควรจะไปเลยนะ ผมแล้วแต่ลูก ตอนนี้มีคนทาบทามลูกผมให้เป็นพรีเซนเตอร์แล้วนะครับ คือมีแมวมองมาทาบทาม เขาไม่รู้ว่าเป็นลูกผมเพราะผมไม่ได้บอก ลูกคนโตก็แอบไปถ่ายโฆษณาแล้ว แต่เขายังปิดเป็นความลับอยู่ ผมไม่รู้เรื่องนะ ผมไม่ได้เป็นคนชักจูง ผมเองก็อยากเห็นเหมือนกันว่าเขาถ่ายอะไรไป ตอนนี้ลูกมีชื่อเสียงแล้ว เขาถอนตัวไม่ได้แล้ว เขาก็สนุกของเขา เขามีความรู้สึกว่าได้กระโดดโลดเต้น อย่างน้อยเขาก็โตแล้วคิดได้แล้ว เขาจะมีประสบการณ์ใหม่ๆ พุ่งเข้ามาสู่ชีวิตเขา อันนี้ผมก็ยินดี แล้วผมจะเป็นที่ปรึกษาให้เขาด้วย"

"ผมต้องขอพี่ๆ สื่อมวลชนว่า ผมปั้นของผมมาดีแล้ว ก็ขอให้พี่ช่วยปั้นในทางที่เด็กน่ารักๆ ควรจะเป็นเพื่อสังคม แล้วบรรยากาศข่าวมันจะดูน่ารักกุ๊กกิ๊กไม่ซีเรียส ส่วนตัวผมก็ขอบคุณพี่ๆ สื่อมวลชนทุกท่านด้วย พี่ๆ ที่มีใจกับผมจริงๆ พี่ที่เห็นผมมาสิบปี ขอบคุณในวันนี้นะครับ เขารู้อยู่แกใจ เขารู้ทั้งรู้นะว่าผมมีลูก แต่เขาไม่เปิดเผย เขายังมาถามผมเลยว่าลูกเป็นยังไงบ้าง ผมก็บอกว่าโตแล้วพี่น่ารักมากเลย เขาก็บอกว่าก็ดีแล้ว แล้วจะเปิดเมื่อไหร่ เราก็บอกไปว่าก็ไม่รู้เหมือนกัน รอให้มันโตก่อน นี่ก็อยากให้เขาโตของเขาไปเรื่อยๆ คือเราคุยกันเหมือนพี่น้องแลกเปลี่ยนกันเท่านั้นเอง แต่ถึงวันนี้ผมก็ขอบคุณจริงๆ ผมไม่โกรธนะ รายการหรือหนังสืออะไรที่เอารูปผมมาลง ผมไม่โกรธเขา ผมเข้าใจว่ามันเป็นหน้าที่ของเขา เขาก็ทำหน้าที่ได้ดีแล้ว"

เล่าเหตุการณ์ถูกตีนแมวขโมยของในร้านอาหารมาสดๆ ร้อนๆ แจงไล่จับด้วยตนเอง ที่แท้เคยเป็นอดีตลูกน้องที่เพิ่งถูกไล่ออก!!!

"ผมโดนขโมยไปเกือบแสน มีเครื่องมิกซ์เซอร์ จอโปรเจคเตอร์ แล้วก็เครื่องคอมพิวเตอร์ที่พิมพ์บัญชี มีเหล้าของลูกค้าบางส่วน แต่ตอนนี้จับตัวได้แล้วเป็นลูกน้องที่ผมไล่เขาออกไป ผมไม่ได้ไปแจ้งความเพราะสงสาร ก็ได้ของคืนครบหมด คือคิดว่าช่วงนี้เขาคงลำบาก แล้วเขาก็สารภาพร้องไห้กับผม ผมเลยบอกว่าที่เหลือเอามาคืนแล้วก็ออกไป"

Start Highspeed Download
Please enter the number you see on the security-check picture!


0 ความคิดเห็น:

Contents

Hot Hit

Followers

free counters
 

Asia Actress. Copyright 2008 All Rights Reserved Revolution Two Church theme by Brian Gardner Converted into Blogger Template by Bloganol dot com